วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2556

My profile

                              ชีวิตในมหาวิยาลัย


            ถ้ากล่าวถึงการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย ใครๆก็อาจคิดว่ามันเป็นเรื่องง่าย ถ้าไม่ได้ลองเข้ามาใช้ชีวิตจริงๆก็ไม่รู้หรอกว่ามันยากแค่ไหน กว่าจะเรียนจบ 4 ปีต้องเผชิญกับเหตุการณ์มากมายที่เข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยวิธีการใช้ชีวิตของเราให้มีความสุข และตลอดเวลาการเรียนนั้น ก็มีอยู่ด้วยกันมากมาย แต่ไม่ได้มีบัญญัติไว้อย่างเป็นทางการจากวิชาการท่านใด มีเพียงพวกเราที่ประสบความสำเร็จและอยู่ในมหาลัยนี้อย่างมีความสุขเท่านั้น ที่เรียบเรียงวิธีเหล่านี้ให้พวกคุณ

       1.ปรับตัวให้เข้ากับสังคม คือพยายามที่จะเปิดตัวเปิดใจรับกับสิ่งใหม่ๆที่กำลังจะเข้ามาในอนาคตอันใกล้       2.เข้าทำกิอจกรรมทางมหาวิทยาลัย คือเทื่อทางมหาวิทยาลัยมีงานก็เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อที่จะได้ประสบการณ์       3.รู้จักคบเพื่อนและคบให้ถูกคือ รู้จักที่จะเข้าหาผู้อื่นเข้าร่วมกับสังคมเพื่อที่จะปรับตัวเป็น นั่นคือการรู้จักคบเพื่อนไปในทางที่ดี       4.การรู้จักที่จะให้อภัย แต่ข้อนี้ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าให้มีวงจำกัดอยู่แค่ในรั้วมหาวิทยาลัย ถ้าจะดีควรจะเผบแพร่ไปสู่ผู้อื่นด้วยจะดีกว่า เพราะเมื่อเรารู้จักการให้อภัยในสิ่งที่คนอื่นทำผิดพลาดเปรียบกับสำนวนไทยที่ว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร นั่นแล       5.หัดเข้าชมนมเพราะเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์หลายอย่าง มหาวิทยาลัยของคุณคงมีชมรมให้คุณเลือกอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็น ด้านกีฬา คนตรี คุณสามารถเลือกได้ตามความต้องการ       6.อย่าเดินหลังเที่ยงคืน โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นหญิงสาววัยขบเผาะ คุณยิ่งต้องระวังเอาไว้เลย ช่วงพระอาทิตย์ตกดินเป็นต้นไปพวกมิจฉาชีพมาเดินกันขวักไขว่ทางที่ดีท่านควรที่จะพาเพื่อนเดินไปด้วยสักคน       7.เลือกหอพักให้ดีถ้าคุณเป็นหญิงสาวคุณอาจเลือกหอพักที่เป็นหญิงล้วน เพราะอาจพักหอหญิงและหอชายรวมกัน มันอาจเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นมาก็ได้        8.ตีซี้อาจารย์ คุณคิดว่าอยู่ในมหาลัยคบเพื่อนอย่างเดียวพอแล้วหรือ ไม่หรอกคะ การคบแต่เพื่อนมันจะทำให้คุณเรียนดีขึ้นไหม คะแนนเพิ่มขึ้นหรือไม่ ต้องเข้าหาอาจารย์คุณจะได้รับคำปรึกษามากมาย แต่ที่สำคัญอาจารย์จะแปลงร่างเป็นนักจิตวิทยาได้       9.มาเรียนอย่างสม่ำเสมอ การที่คุณมาเข้าเรียนสายนั้นอาจทำให้คุณพลาดอะไรบางอย่างไปอย่างไม่คาดคิดเช่น พลาดการเชคชื่อ หรือแนวข้อสอบ      10.คิดทุกอย่างก่อนที่จะทำอะไรลงไปการที่คุณจะทำอะไรลงไปนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน หรือกิจกรรมคุณควรทำอย่างไตร่ตรองก่อนที่จะลงมือปฏิบัติ อย่างไรก็ตามการดำรงชีวิตรั้วมหาวิทยาลัย ก็ต้องขึ้นอยู่กับการปรับตัวของเราเองเหมือนกับคำโบราณ ที่กล่าวว่า เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม เพื่ออนาคตของตัวเราเอง


วันครูของประเทศไทย


     วันครูได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ พ.ศ. 2488 ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภาเป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษาและวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ ควบคุม จรรยาและวินัยของครูรักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครูและครอบครัว ได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู   ด้วยเหตุนี้ในทุกปี คุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และชักถามปัญหาข้อข้องใจต่างๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบข้อสงสัย สถานที่ ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุมสามัคยาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังใช้หอประชุมคุรุสภา  ปี พ.ศ. 2499 ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ ได้กล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า

"ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณ เป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าวันครูควรมี สักวันหนึ่งสำหรับให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายได้แสดงความเคารพ สักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับ คนทั่วไปถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละ ทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง"

      จากแนวความคิดนี้ กอปรกับความเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่นๆ ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึก ถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดี เพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมากในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติเห็นควรให้มีวันครูเพื่อเสนอ คณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครูและเพื่อส่งเสริม ความเข้าใจอันดีระหว่างครูกับประชาชน

      การจัดงานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าวได้ ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติเป็นที่จัดงานวันครูนี้ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญคือ หนังสือประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างเป็นถาวรวัตถุ

 ในปัจจุบันได้จัดรูปแบบ การจัดงานวันครูจะมีกิจกรรม 3 ประเภทหลักดังนี้

·         กิจกรรมทางศาสนา

·         พิธีรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตน การกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์

·         กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู ส่วนมากเป็นการแข่งขันกีฬาหรือการจัดงานรื่นเริงในตอนเย็น
 
 
 
 
 

ที่มา


วันเด็กแห่งชาติ

   วันเด็กแห่งชาติในประเทศไทย ตรงกับวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมของทุกปี เป็นวันหยุดราชการที่มิได้ชดเชยในวันทำงานถัดไป มีการให้คำขวัญวันเด็กทุกปีโดยนายกรัฐมนตรีไทย เริ่มต้นจัดงานวันเด็กครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2498 โดยได้กำหนดให้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม เป็นวันเด็กแห่งชาติ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2506 ได้มีมติเปลี่ยนแปลงวันเด็กแห่งชาติมาเป็นวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคม โดยเริ่มจัดงานวันเด็กในปี พ.ศ. 2508 เป็นต้นมา

การจัดงานวันเด็ก

Children's Day ปีพุทธศักราช 2498 อันเป็นปีที่ทั่วโลกเริ่มจัดงานเฉลิมฉลองวันเด็กแห่งชาติกันขึ้น ตามความเห็นคล้อยตามกับองค์การสหประชาชาติที่นำปัญหาเรื่องเด็กมาร่างเป็นปฏิญญาว่าด้วยสิทธิของเด็กขึ้นมา   ประเทศไทยได้รับข้อเสนอของวี เอ็ม กุลกานี ผู้แทนองค์กรสมาพันธ์เพื่อสวัสดิภาพเด็กระหว่างประเทศ ผ่านมาทางกรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทยว่า ประเทศไทยควรจัดงานเฉลิมฉลองวันเด็กแห่งชาติขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเห็นความสำคัญของเด็กให้มากขึ้น ดังที่นานาประเทศกำลังทำอยู่ขณะนั้น สภาวัฒนธรรมแห่งชาติยังมิได้ถูกยุบเลิกไป คณะกรรมการสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ จึงนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมเพื่อพิจารณา ในที่สุดที่ประชุมได้เห็นชอบนำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในขณะนั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 ได้มีมติคณะรัฐมนตรีรับหลักการ ให้จัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้น โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงศึกษาธิการรับไปดำเนินการ ส่วนของค่าใช้จ่ายในการจัดงานนั้น ได้อนุมัติเงินจากกองสลากกินแบ่งรัฐบาลมาดำเนินการ  ดังนั้น ในวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2498 ประเทศไทยจึงมีงานเฉลิมฉลองวันเด็กแห่งชาติเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก จากนั้นเป็นต้นมา ทางราชการได้กำหนดวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปีเป็นวันเด็กแห่งชาติ และจัดติดต่อกันมาจนถึงปี พ.ศ. 2506 ที่ประชุมคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติในปีนั้น มีความเห็นพ้องต้องกันว่า สมควรที่จะเสนอเปลี่ยนวันจัดงานวันเด็กแห่งชาติเสียใหม่เพื่อความเหมาะสม ด้วยเหตุผลว่า ในเดือนตุลาคม ประเทศไทยยังอยู่ในฤดูฝน มีฝนตกมาก เด็กไม่สะดวกในการมาร่วมงาน ประการต่อมาก็คือ วันจันทร์เป็นวันปฏิบัติงานของผู้ปกครอง จึงไม่สามารถพาเด็กของตนไปร่วมงานได้ ตลอดจนการจราจรก็ติดขัด  คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติเสนอ ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2507 ประกาศเปลี่ยนงานฉลองวันเด็กแห่งชาติจากวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม มาเป็นวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้ปี พ.ศ. 2507 ไม่มีงานวันเด็กแห่งชาติด้วยการประกาศเปลี่ยนได้เลยวันมาแล้ว    งานวันเด็กแห่งชาติได้เริ่มจัดขึ้นมาใหม่อีกครั้งใน พ.ศ. 2508 และจัดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

คำขวัญวันเด็ก


     คำขวัญวันเด็ก เป็นคำขวัญที่นายกรัฐมนตรีมอบให้เด็กไทย เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติของทุกปี โดยคำขวัญวันเด็กมีขึ้นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2499 ในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงครามดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และตั้งแต่ พ.ศ. 2502 จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้มอบคำขวัญวันเด็กให้ จึงได้ถือเป็นธรรมเนียมสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

 
 
 
 
ที่มา



ประวัติวันปีใหม่ภาษาอังกฤษพร้อมแปล
History of the New Year.
The meaning of New Year's Day.
The meaning of New Year's Day Issue Royal Tong dictionary Graduate network location. The meaning of the word "year" in the following year, meaning a circle around the Earth once the Sun around 365 days for 12 month calendar

Background.
New Year's Day with history, which vary according to age and fitness. Since the time when people first started Brbioeenei invention of the calendar. Through each stage of the moon as a basis for the count after 12 months was defined as a year to ensure a fit between the calendar year with the seasonal year. Has added months to 1 month to 13 months in all four years.

Later, Egyptians, Greeks and people c wikis. Calendar Brbioeenei led people to modify Again several times to meet the season even more until the reign of King Juliet Caesar brought the idea of an astronomer Egyptian name Yo Sin Ye Nis improve the year with 365 days every four years to fill. 28-day month with an additional 1 day to 29 days in February is called a leap.

The increase in February has 29 days in every four days in the calendar year, but still not match the season Neu. Time is longer than a calendar year, seasonal Cause before the season arrives in the calendar.

In calendar year on March 21 every year is a time during the day and night are equal. Is the day that the sun is directly east. And a secret down at the west precisely Today the world is a 12-hour period was the same night called on daytime Equality March (Equinox in March).

But in the Year 2125 date back to the Equinox in March occurred on March 11 instead of March 21, so Pope Gregory, 13, is adjusted to deduct 10 days from the day calendar. And the day after the date of October 4, 2125 instead of on October 5, then changed to October 15 instead (in 2125 this year), this new calendar is called. Erini as Gregorian calendar. Then adjusted promulgated on January 1 is the start date of the year onwards.

Background. Thai New Year's Day.
In the past, the traditional Thai New Year Day has been changed four times: first day of the waning fall at a lunar month, Ai is a New Year's Day. Meet in January to the No. 2 New Year's Day falls on the fifth lunar month as a motto Brahmin Which corresponds to April.
Date has been set up in 2 years this fall at a lunar core. Later equate solar instead. The set April 1 as New Year's Day from the year 2432 onwards, however, most people especially the rural areas is still taken as Songkran. New Year's Day address. Later, when a change of government is democracy. Government that New Year's Day on April 1 will be carnival Aamnsoog much. Deserve to be revived. Has announced a festive New Year's Day on 1 April 2477 in Bangkok for the first time.

Event New Year's Day began on April 1 to spread to other provinces in coming years, and in the year 2479 there has been a new year around the fairgrounds all provinces. New Year's Day on April 1 at that time the government called. ErnuSongkran Day.

Later, with the change of New Year's Day again. The Cabinet appointed by the Board of Directors. The discourse of the Royal Fine. As Chairman. The meeting agreed unanimously to change the New Year on January 1 by a given date is January 1, 2484 New Year's Day onwards.

Why the government has changed the New Year's Day from April 1 as the date is January 1.
1. Not inconsistent with Buddhism in the Date and Celebrate New Year with philanthropy
2. It brings out how a Brahmin came across the Buddhist doctrine.
3. The international level to use in countries around the world.
4. Is a refreshing culture, ideology and customs of the Thai nation.

Activities, most Thais will abide in the New Year's Day were.
1. To put merit. It may put at home. Or go to temples or places of the official invitation to merit.
2. Respectfully wishes from adults. And greeting friends. The gift. Delivering a bouquet of flowers. Or send a greeting card.
3. Fairgrounds. Catering among friends. Relatives or by other agencies.
New Year's Day is a great opportunity to allow us to review the life of the past. To a bug that happened in the past to better

Events on New Year's Day.
January 1 of each year will be put merit and dedication of those who passed away a charity sermon preached Fish released birds greeting each other. May send cards or greeting cards. Kua's big respect adults to get together. And bathing the Buddha is decorated with flags and prepare to clean house. And shelter.
 
ประวัติความเป็นมา วันปีใหม่

ความหมายของ วันขึ้นปีใหม่
ความหมายของวันขึ้นปีใหม่ ตามพจนานุกรม ฉบับราชตบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคำว่า " ปี" ไว้ดังนี้ ปี หมายถึง เวลา ชั่วโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งราว 365 วัน : เวลา 12 เดือนตามสุริยคติ

 

ประวัติความเป็นมา

วันปีใหม่ มีประวัติความเป็นมาซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและความเหมาะสม ตั้งแต่ในสมัยเริ่มแรกเมื่อชาวบาบิโลเนียเริ่มคิดค้นการใช้ปฏิทิน โดยอาศัยระยะต่าง ๆ ของดวงจันทร์เป็นหลักในการนับ เมื่อครบ 12 เดือนก็กำหนดว่าเป็น 1 ปี และเพื่อให้เกิดความพอดีระหว่างการนับปีตามปฏิทินกับปีตามฤดูกาล จึงได้เพิ่มเดือนเข้าไปอีก 1 เดือน เป็น 13 เดือนในทุก 4 ปี

ต่อมาชาวอียิปต์ กรีก และชาวเซมิติค ได้นำปฏิทินของชาวบาบิโลเนียมาดัดแปลงแก้ไข อีกหลายคราวเพื่อให้ตรงกับฤดูกาลมากยิ่งขึ้นจนถึงสมัยของกษัตริย์จูเลียต ซีซาร์ ได้นำความคิดของนักดาราศาสตร์ชาวอียิปต์ชื่อ โยซิเยนิส มาปรับปรุง ให้ปีหนึ่งมี 365 วัน ในทุก ๆ 4 ปี ให้เติมเดือนที่มี 28 วัน เพิ่มขึ้นอีก 1 วัน เป็น 29 วัน คือเดือนกุมภาพันธ์ เรียกว่า อธิกสุรทิน

เมื่อเพิ่มในเดือนกุมภาพันธ์มี 29 วันในทุก ๆ 4 ปี แต่วันในปฏิทินก็ยังไม่ค่อยตรงกับฤดูกาลนัก คือเวลาในปฏิทินยาวกว่าปีตามฤดูกาล เป็นเหตุให้ฤดูกาลมาถึงก่อนวันในปฏิทิน

และในวันที่ 21 มีนาคมตามปีปฏิทินของทุก ๆ ปี จะเป็นช่วงที่มีเวลากลางวันและกลางคืนเท่ากัน คือเป็นวันที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นตรงทิศตะวันออก และลับลงตรงทิศตะวันตกเป๋ง วันนี้ทั่วโลกจึงมีช่วงเวลาเท่ากับ 12 ชั่วโมง เท่ากัน เรียกว่า วันทิวาราตรีเสมอภาคมีนาคม (Equinox in March)

แต่ในปี พ.ศ. 2125 วัน Equinox in March กลับไปเกิดขึ้นในวันที่ 11 มีนาคม แทนที่จะเป็นวันที่ 21 มีนาคม ดังนั้น พระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ 13 จึงทำการปรับปรุงแก้ไขหักวันออกไป 10 วันจากปีปฏิทิน และให้วันหลังจากวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2125 แทนที่จะเป็นวันที่ 5 ตุลาคม ก็ให้เปลี่ยนเป็นวันที่ 15 ตุลาคมแทน (เฉพาะในปี 2125 นี้) ปฏิทินแบบใหม่นี้จึงเรียกว่า ปฏิทินเกรกอเรี่ยน จากนั้นได้ปรับปรุงประกาศใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันเริ่มต้นของปีเป็นต้นมา

ความเป็นมาของ วันขึ้นปีใหม่ไทย
ในอดีต วันขึ้นปีใหม่ของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 4 ครั้งคือ ครั้งแรกถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ซึ่ง ตรงกับเดือนมกราคม ครั้งที่ 2 กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ตามคติพราหมณ์ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน
การกำหนดวันขึ้นปีใหม่ใน 2 ครั้งนี้ ถือเอาทางจันทรคติเป็นหลัก ต่อมาได้ถือเอาทางสุริยคติแทน โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามชนบทยังคงยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็น วันขึ้นปีใหม่อยู่ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทางราชการเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ไม่สู้จะมีการรื่นเริงอะไรมากนัก สมควรที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน 2477 ขึ้นใน กรุงเทพฯเป็นครั้งแรก

การจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่ได้เริ่มเมื่อวันที่ 1 เมษายน ได้แพร่หลายออกไปต่างจังหวัดในปีต่อๆมา และในปี พ.ศ.2479 ก็ได้มีการ จัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด วันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ในสมัยนั้นทางราชการเรียกว่า วันตรุษสงกรานต์

ต่อมาได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น ซึ่งมีหลวงวิจิตรวาทการ เป็นประธานกรรมการ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม 2484 เป็น วันขึ้นปีใหม่เป็นต้นไป

เหตุผลที่ทางราชการได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายนมาเป็นวันที่ 1 มกราคม ก็คือ
1. ไม่ขัดกับพุทธศาสนาในด้านการนับวัน เดือน และการร่วมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญ
2. เป็นการเลิกวิธีนำเอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมพระพุทธศาสนา
3. ทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศทั่วโลก
4. เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของชาติไทย

กิจกรรมที่ชาวไทยส่วนใหญ่มักจะยึดถือปฏิบัติในวันขึ้นปีใหม่ได้แก่
1. การทำบุญตักบาตร โดยอาจตักบาตรที่บ้าน หรือไปที่วัดหรือตามสถานที่ต่างๆที่ทางราชการเชิญชวนไปร่วมทำบุญ
2. การกราบขอพรจากผู้ใหญ่ และอวยพรเพื่อนฝูง การมอบของขวัญ การมอบช่อดอกไม้ หรือการส่งบัตร
อวยพร
3. การจัดงานรื่นเริง การจัดเลี้ยงในหมู่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องหรือตามหน่วยงานต่างๆ
วันขึ้นปีใหม่นับเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราได้ทบทวนถึงการดำเนินชีวิตในอดีต เพื่อจะได้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในอดีตให้ดีขึ้น

กิจกรรมใน วันขึ้นปีใหม่
วันที่ 1 มกราคม ของทุกปี จะมีการทำบุญตักบาตรและอุทิศส่วนกุศลผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ฟังเทศน์ ปล่อยปลา ปล่อยนก อวยพรซึ่งกันและกัน หรืออาจจะส่งการ์ดบัตรอวยพร ของขัวญไหว้ผู้ใหญ่เพื่อรับพร และสรงน้ำพระพุทธรูป ประดับธงชาติ และจะเตรียมทำความสะอาดบ้าน และที่พักอาศัย
 
 
 
 
ที่มา